วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในญี่ปุ่น : ไดบุทสึแห่งนาระ วัดโทได (Nara Daibutsu, Todai Temple)

ไดบุทสึแห่งนาระ เมืองนาระ ประเทศญี่ปุ่น

พระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆหรือไดบุทสึ เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่สำคัญมากๆของประเทศญี่ปุ่น จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
ไดบุทสึแห่งนาระ (Nara Daibutsu) ประดิษฐานอยู่ที่วัดโทได (Todai Temple) ซึ่งเป็นวัดสำคัญของเมืองนาระ จังหวัดยะมะโตะ องค์ไดบุทสึแห่งนาระนี้ทำจากสำริด มีความสูง ถึง 15 เมตร อีกทั้งยังเป็นต้นแบบของไดบุทสึแห่งคามาคุระอีกด้วย ไดบุทสึองค์นี้ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารไม้ที่ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก 








สำหรับวัดโทได เมืองนาระแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในทะเบียนเดียวกับวัด ศาลเจ้า และสถานที่สำคัญอื่นๆอีก 7 แห่งในเมืองนาระ  ซึ่งได้เริ่มสร้างครั้งแรกในสมัยเทมเปียวที่ในยุคนั้นมีผู้ประสบภัยจากภัยธรรมชาติและโรคระบาดอยู่เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งปี พ.ศ. 1286 จักรพรรดิโชมุได้ทรงประกาศว่า ประชาชนควรจะร่วมกันสร้างพระพุทธรูปขึ้นเพื่อปกป้องตนเองจากภัยพิบัติ เนื่องจากทรงมีความเชื่อว่าพระพุทธรูปจะช่วยคุ้มครองประชาชนได้ ตามบันทึกที่เก็บรักษาอยู่ในวัดโทไดได้กล่าวว่า มีคนมาช่วยสร้างพระพุทธรูปและหอที่ประดิษฐานมากกว่า 2,600,000 คน การสร้างพระพุทธรูปเริ่มต้นครั้งแรกที่เมืองชิงะระกิ แต่หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้และแผ่นดินไหวจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ก็ได้ย้ายสถานที่สร้างมายังเมืองนาราใน พ.ศ. 1288 และสร้างเสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ. 1294 ต่อมาใน พ.ศ. 1295 ได้มีการจัดพิธีเบิกพระเนตรเพื่อฉลองพระพุทธรูปองค์ใหม่ โดยมีพระภิกษุชาวอินเดียชื่อว่า Bodai-senna เป็นผู้ประกอบพิธี ตามบันทึกมีผู้มาร่วมพิธีราว 10,000 คน หลังจากนั้นจักรพรรดิโชมุได้ทรงประกาศให้วัดโทไดเป็นวัดประจำจังหวัดยะมะโตะ และเป็นศูนย์กลางของวัดทั่วอาณาจักร การก่อสร้างขึ้นใหม่หลังสมัยนะระ พระพุทธรูปไดบุสึถูกสร้างขึ้นใหม่หลายครั้งโดยเหตุผลต่างๆกัน รวมทั้งความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหว และมีการสร้างขึ้นใหม่ 2 ครั้งที่มีสาเหตุจากเหตุเพลิงไหม้ โดยพระหัตถ์ทั้งสองข้างที่เห็นในปัจจุบันนี้สร้างขึ้นในสมัยโมะโมะยะมะ (พ.ศ. 2111-2158) พระเศียรในปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยเอโดะ (พ.ศ. 2158-2410)และหอที่ประดิษฐานในปัจจุบันนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2252 โดยมีขนาดเล็กกว่าอาคารหลังเดิมราว 30% เดิมทีในบริเวณวัดจะมีเจดีย์สูง 100 เมตรอยู่คู่หนึ่ง ซึ่งจัดว่าเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกในยุคหลังจากการสร้างพีระมิด แต่ได้พังทลายลงเนื่องจากแผ่นดินไหว และทางเดินเข้าไปยังตัววิหารนั้นทอดยาวเข้าไป โดยจะมีฝูงกวาง ซึ่งคนญี่ปุ่นเชื่อว่ากวางเหล่านี้เป็นบริวารของเทพเจ้าเดินอยู่รอบๆอีกด้วย

สัญลักษณ์ของเมืองนาราคือ "กวาง" จึงเห็นกวางได้ทั่วไปทั้งในอุทยานนารา ศาลเจ้าคะสุกะ หรือที่วัดไทโดแห่งนี้ กวางพวกนี้เชื่องเพราะส่วนมากเป็นตัวเมีย แต่ก็มักจะแย่งอาหารที่ผู้มาเยือนถืออยู่ในมือ ที่นี่มีขนมที่ทำขายเป็นอาหารกวางโดยเฉพาะด้วยเป็นแป้งแผ่นๆ คล้ายขนมกล้วยหอมอัดญี่ปุ่นเรียกขนมบิสกิตกวางหรือ "ชิกะเซมเบะ" ขายปึกละ 150 เยน ถ้ากวางเห็นเราถือแผ่นเซมเบะน มันจะเดินตามจนกว่าจะได้กินและกินจนหมด ถ้าหมดแล้วเรากำมือไปชนหน้าผากมัน มันจะรุ้ว่าหมดแล้วและจะเดินจากไปอย่างง่ายๆ

อ้างอิงที่มาของข้อมูลจาก meetaweetour.co.th และ oknation.net


=================================================================

ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม Nara Daibutsu, Todai Temple นะครับ
แล้วอย่าลืมเข้ามาพบกับ

Go Around And Travel
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งอื่นๆที่น่าสนใจกันอีกนะครับ

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในญี่ปุ่น : ไดบุทสึแห่งคามาคุระ วัดโคโตกุ (Kamakura Daibutsu, Kotoku Temple)

ไดบุทสึแห่งคามาคุระ เมืองคามาคุระ ประเทศญี่ปุ่น

พระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆหรือไดบุทสึ เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่สำคัญมากๆของประเทศญี่ปุ่น จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
ไดบุทสึแห่งคามาคุระ เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยคามาคุระ หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ “พระอมิตตาพุทธ เนียวยูไล” (Amida Nyoyurai) ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในวัดโคโตกุ (Kotoku Temple) เมืองคามาคุระ จังหวัดคานางาวะ องค์ปัจจุบันนั้นทำจากสำริด ความสูงรวมฐานประมาณ 13.35 เมตร (เฉพาะองค์สูง 11 เมตร) มีน้ำหนัก 122 ตัน ที่เห็นองค์พระเป็นสีเขียวนั้นเกิดจากโลหะสำริดทำปฏิกิริยากับอากาศที่มีทั้งฝนและหิมะ ซึ่งเดิมทีแล้วองค์พระไม่ได้อยู่กลางแจ้ง แต่เพราะภัยธรรมชาติต่างๆ ที่พัดเอาโบสถ์และสิ่งก่อสร้างบริเวณนั้นหายไปจนหมด เหลือไว้เพียงองค์ไดบุทสึกลางแจ้งในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีความเชื่อกันว่า พระไดบุทสึเป็นผู้ปกป้องแผ่นดินญี่ปุ่นไว้จากการรรุกรานของศัตรูอีกด้วย




การเดินทาง : นั่งรถเมล์หมายเลข 6 จากหน้าสถานีรถไฟคามาคุระ (15 นาที) จนถึงหน้าวัด ซื้อบัตรและเดินผ่านแถวต้นสนเข้าไปจะพบลานกว้าง สำหรับวัดโคโตกุแห่งนี้ เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 7.00 - 16.30 โดยมีค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ที่ 300 JPY และสำหรับเด็กที่ 150 JPY และค่าเข้าชมองค์พระไดบุทสึด้านในอีก 20 JPY


อ้างอิงที่มาของข้อมูลจาก anngle.org และ pantip.com
=================================================================

ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม Kamakura Daibutsu, Kotoku Temple นะครับ
แล้วอย่าลืมเข้ามาพบกับ

Go Around And Travel
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งอื่นๆที่น่าสนใจกันอีกนะครับ

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย ประเทศจีน (Zhangjiajie, China) สถานที่ท่องเที่ยวสุดอลังการณ์ระดับโลก

อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย ประเทศจีน

อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย มณฑลหูหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของจีน ซึ่งลือชื่อด้วยทรัพยากรการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ของตนเองที่เป็นพื้นที่ป่าไม้ถึง 98% จางเจียเจี้ย ยังคงรักษาความสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์วิทยาไว้เป็นอย่างดี ความหลากหลายทางภูมิประเทศของเขตธรรมชาติแต่ละแห่งของจางเจียเจี้ยได้นำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ด้วยพันธุ์พืชและสัตว์นานาชนิด สภาพภูมิอากาศชุ่มชื้นเหมาะสมกับการเจริญ เติบโตของพืชพันธุ์ นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์พืชและสัตว์ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์อีกด้วย




ในอดีต บริเวณของอุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ยนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน ต่อมาธรรมชาติได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ทางสภาพภูมิประเทศ ที่มีเสาหินทราย และยอดเขาประหลาดที่พบเห็นได้ยากมากในธรรมชาติ อีกทั้งยังมีลำธาร น้ำตก สระน้ำคดเคี้ยววกไปวนมาอยู่เบื้องล่างของ หุบเขา และหน้าผาที่สูงชันสลับกันไปมา ก่อให้เกิดถ้ำต่างๆ กว่า 40 แห่ง และสะพานหินธรรมชาติขนาดใหญ่อีก 2 สะพาน









อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของจีนมาตั้งแต่ปี 1992 เนื้อที่กว่า 9,500 ตารางกิโลเมตรของอุทยาน เต็มไปด้วยแท่งภูเขาหินทรายสูงขึ้นฟ้ามากกว่า 3,000 ยอด สะพานหินตามธรรมชาติ น้ำตก ถ้าใหญ่น้อยกว่า 40 แห่ง ตลอดจนลำธารที่มีน้ำอันใสสะอาด โดยยอดเขาสูงทั้ง 3,103 ลูก เป็นผาสูงชัน ยอดเขาสูง บางยอดเป็นที่ราบเรียบ ยอดเขาเหล่านี้ มีความสูงเฉลี่ย 500-1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ส่วนยอด เขาที่มีความสูงกว่า 400 เมตรขึ้นไป มีจำนวนกว่า 1,000 ลูกยอดเขาแหลมเล็กเหล่านี้ตั้งตระหง่านสลับซับซ้อนแผ่กระจายดั่งท้องทุ่งเสาหิน กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา รูปร่าง ของเสาหินทราย และยอดเขาบ้างก็มองดูคล้ายมนุษย์ บ้างก็คล้ายรูปสัตว์ บ้างก็เหมือนฉากกั้น บ้างก็เหมือนหน่อไม้ เพราะความประหลาดทางธรรมชาติเหล่านี้ เมื่อเหล่าจิตรกรจีนมาเห็นเข้า แล้วประทับใจในความงาม จึงนำไปสร้างสรรค์ในผลงานของตน
และเช่นเดียวกับผู้กำกับภาพยนตร์รางวัลออสการ์ระดับโลก "เจมส์ คาเมรอน" ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากอุทยานแห่งนี้ ให้นำไปสร้างเป็น ภูเขาลอยฟ้าแห่งดาวแพนดอร่า ในภาพยนตร์เรื่อง อวตาร (Avatar) จนทำให้อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ยยิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นไปอีก


ธารน้ำแส้ทอง ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งในวนอุทยานจางเจียเจี้ย โดยมีความยาวทั้งหมด 8 กิโลเมตร และมีขุนเขารูปลักษณ์ตระการตากว่า 400 ลูก ก้าวหนึ่งมีวิวหนึ่ง วิวหนึ่งมีภาพหนึ่ง เป็นภาพที่ไม่ซ้ำกัน เดินท่องไปตามริมธารน้ำแส้ทอง สัมผัสอากาศเย็นสบายสดชื่น ทำให้กระปี้กระเปร่า สำหรับที่มาของชื่อ "ธารน้ำแส้ทอง" นั้นเกิดจากภูหินผาสูงจากพื้นกว่า 350 เมตร รูปลักษณ์ของหินผาลูกนี้เหมือนแส้ซึ่งเป็นอาวุธโบราณชนิดหนึ่ง อีกทั้งยังมีซิลิกอนไดอ็อกไซด์ ผสมอยู่ในเนื้อหิน เมื่อแสงแดดสาดส่อง จะมีแสงสะท้อนเป็นสีทอง

อ้างอิงที่มาของข้อมูลจาก travel.mthai.com และ michaelyamashita.com

=================================================================

ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม Zhangjiajie, China นะครับ แล้วอย่าลืมเข้ามาพบกับ
Go Around And Travel
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งอื่นๆที่น่าสนใจกันอีกนะครับ

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว น้ำตกใต้น้ำ เกาะมอริเชียส (Underwater Waterfall, Mauritius Island) สถานที่ท่องเที่ยวสุดอลังการณ์ระดับโลก

น้ำตกใต้น้ำ เกาะมอริเชียส

เกาะมอริเชียส เป็นเกาะที่อยู่ห่างออกในทะเลทางตะวันออกของทวีปแอฟริกาประมาณ 2,000 กิโลเมตร ใกล้กับเกาะมาดากัสการ์  เกาะมอริเชียสแห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่องชายหาดที่แปลกประหลาดราวกับว่ามีน้ำตกซ่อนอยู่ภายใต้ชายหาดแห่งนั้น ซึ่งจะสามารถมองเห็นได้จากมุมสูงเท่านั้น 

ภาพลวงตาของน้ำตกใต้น้ำที่ชายหาดทางตะวันตกของเกาะแห่งนี้เกิดจากทรายที่มีระดับความสูงแตกต่างกันเป็นสันคลื่นค่อยๆลดระดับจากชายหาด ลึกลงไปในทะเล ซึ่งเมื่อมองจากมุมสูงจะคล้ายกับมีกระแสน้ำไหลลงไปตกในพื้นที่ที่ลึกกว่าในจุดที่มืดเปรียบเสมือนเป็นน้ำตกนั่นเอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้มีนำ้ตกใต้น้ำในบริเวณนี้แต่อย่างใด




เกาะมอริเชียสแห่งนี้ ถูกค้นพบครั้งแรกโดยชาวอาหรับในปี 975 และครั้งต่อมาโดยชาวโปรตุเกสในปี 1507 - 1513 ตั้งแต่นั้นมา ก็เกิดการล่าอาณานิคมระหว่างฝรั่งเศส, ดัตช์, และอังกฤษเรื่อยมา จนกระทั่งต่อมาเกาะมอริเชียสก็กลายเป็นสาธารณรัฐในปี 1968  

นอกจากเรื่องของภาพลวงตาของน้ำตกใต้น้ำที่ทำให้เกาะแห่งนี้มีชื่อเสียงแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถพักผ่อนริมชายหาดทรายสีขาว ว่ายน้ำในทะเลอันอบอุ่น ดูปะการังและสัมผัสโลกใต้ทะเล รวมไปถึงการเที่ยวชมทรรศนียภาพของภูเขาท่ามกลางภูมิอากาศที่อบอุ่นตลอดทั้งปี และเกาะมอริเชียสเองก็ยังเป็นบ้านของสัตว์และพืชที่หายากสุดในโลกบางสายพันธุ์อีกด้วย

อ้างอิงที่มาของข้อมูลจาก huffingtonpost.com และ memolition.com
=================================================================

ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม Underwater Waterfall, Mauritius Island นะครับ
แล้วอย่าลืมเข้ามาพบกับ

Go Around And Travel
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งอื่นๆที่น่าสนใจกันอีกนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว เกาะภูเขาไฟโอกะชิมะ ประเทศญี่ปุ่น (Volcanic island of Aogashima, Japan) สถานที่ท่องเที่ยวสุดอลังการณ์ระดับโลก

เกาะภูเขาไฟโอกะชิมะ ประเทศญี่ปุ่น

เกาะอาโอกะ เป็นเกาะภูเขาไฟซ้อนภูเขาไฟอีกทีหนึ่ง อยู่ในหมู่เกาะอิซุ ในน่านน้ำทะเลฟิลิปปินส์ มหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นไปทางตอนใต้ประมาณ 358 กิโลเมตร เกาะอาโอกะนั้นเป็นส่วนหนึ่งในเขตการปกครองของโตเกียว มีประชากร 195 คน (ปี 2012) และอยู่ภายใต้การดูแลของอุทยานแห่งชาติฟุจิ-ฮาโกะเน-อิซุ (Fuji-Hakone-Izu National Park) 

เกาะอาโอกะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 กิโลเมตร และยังคงมีปากปล่องภูเขาไฟอยู่ โดยรอบๆเกาะ ถูกล้อมรอบด้วยหน้าผาอันสูงชัน ประชากรทั้งหมดอาศัยอยู่รวมกันอยู่บนพื้นที่เล็กๆของเกาะ ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากที่สุด แต่มีโรงเรียนและที่ทำการไปรษณีย์เพียงแค่แห่งเดียว ที่เกาะแห่งนี้มีกิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆมากมาย สำหรับผู้ที่ชอบกิจกรรมผาดโผนก็มีการปีนเขาและการตั้งแคมป์คอยรองรับอยู่ นอกจากนี้ยังมีบ่อน้ำพุร้อนให้แช่กลางเกาะภูเขาไฟสำหรับผู้ชื่นชอบธรรมชาติอีกด้วย และกิจกรรมที่ขึ้นชื่อมากที่สุดคือ การดำน้ำ เพราะน้ำทะเลรอบๆเกาะนั้นใสและสะอาดมาก




เกาะอาโอกะ เป็นภูเขาไฟในยุคโบราณที่ผู้คนต่างรู้จักกันดี ซึ่งเมื่อ 3000 ปีก่อนเกิดการปะทุครั้งใหญ่ทำให้ทั้วทั้งเกาะถูกปกคลุมไปด้วยขี้เถ้าภูเขาไฟ หลังจากนั้น (2400 ปีก่อน) ปากปล่องภูเขาไฟทางตะวันออกเฉียงใต้ก็ค่อยๆถูกกลบด้วยหินลาวาที่ปะทุออกมา มีบันทึกไว้ว่าภูเขาไฟได้ระเบิดอีกครั้งในสมัยเอโดะ ปี 1652 และปะทุครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนเมษายน 1785 แล้วสร้างความเสียหายต่อเนื่องถึงปลายเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน ในเวลานั้นมีผู้เสียชีวิต 130-140 ราย และอีก 327 คนได้อพยบไปยังเกาะฮาจิโจ (Hachijoshima) ที่อยู่ทางตอนเหนือ หลังจากนั้นก็กลายเป็นเกาะร้างไปประมาณ 40 ปี ก่อนที่ผู้คนจะอพยบกลับเข้าไปอาศัยอีกครั้งในปี 1824

สำหรับการเดินทางไปยังเกาะนั้น ยังไม่สะดวกมากนัก เนื่องจากสามารถเดินทางด้วยการนั่งเรือเฟอร์รี่หรือเฮลิคอปเตอร์เท่านั้น โดยสำหรับการนั่งเรือ จะต้องเดินทางไปยังหมู่บ้านโอกะชิมะด้านบนด้วยเส้นทางอันคดเคี้ยวที่ไต่ไปตามหน้าผา แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ เกาะอาโอกะยังเป็นเกาะภูเขาไฟที่อาจเกิดการปะทุขึ้นได้อีกทุกเมื่อ จึงควรวางแผนการเดินทางและติดตามข่าวสารอยู่เสมอๆ


อ้างอิงที่มาของข้อมูลจาก facebook.com และ thailandsusu.com
=================================================================

ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม Aogashima, Japan นะครับ แล้วอย่าลืมเข้ามาพบกับ
Go Around And Travel
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งอื่นๆที่น่าสนใจกันอีกนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว ก้อนน้ำแข็งสีเทอร์ควอยซ์ ประเทศรัสเซีย (Turquoise Ice, Russia) สถานที่ท่องเที่ยวสุดอลังการณ์ระดับโลก

ก้อนน้ำแข็งสีเทอร์ควอยซ์ ทะเลสาบไบคาล ประเทศรัสเซีย

ก้อนน้ำแข็งสีเทอร์ควอยซ์เหล่านี้ เกิดจากน้ำในทะเลสาบไบคาล (Baikal Lake) ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่และลึกที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ภายในประเทศรัสเซีย ที่เย็นกลายเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว และถูกหิมะปกคลุมทั่ว บางจุดจะเกิดเป็นก้อนน้ำแข็งสีเทอร์ควอยซ์สีฟ้าใสขึ้นมาท่ามกลางหิมะ สร้างความสะดุดตาแก่นักท่องเที่ยวที่ได้พบเห็น
Turquoise Ice Northern Lake Baikal Turquoise Ice, Northern Lake Baikal, Russia
ทะเลสาบไบคาล เจ้าของสมญา "ดวงตาสีน้ำเงินแห่งไซบีเรีย" ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเขตไซบีเรีย มีความลึกกว่า 1,640 เมตร และยาวกว่า 650 กิโลเมตร มีปริมาณน้ำจืดบนผิวโลกคิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ถูกเก็บกักเอาไว้ที่นี่ และยังเป็นแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์และยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำจืดนานาชนิด อีกทั้งทะเลสาบแห่งนี้ยังเป็นทะเลสาบยุคโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในโลกในทางธรณีวิทยา ด้วยอายุกว่า 25 - 30 ล้านปี (อายุเฉลี่ยของทะเลสาบในโลกอยู่ที่ 10 - 15 ล้านปี)

การเที่ยวชมปรากฏการณ์ก้อนน้ำแข็งสีเทอร์ควอยซ์นี้ สามารถพบได้ในช่วงเดือนมกราคม ถึง เดือนเมษายนของทุกปี และสำหรับการเดินทางจากไซบีเรียไปยังทะเลสาบแห่งนี้ จะใช้ระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร

อ้างอิงที่มาของข้อมูลจาก mglobemall.com และ facebook.com
=================================================================

ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม Turquoise Ice, Russia นะครับ แล้วอย่าลืมเข้ามาพบกับ
Go Around And Travel
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งอื่นๆที่น่าสนใจกันอีกนะครับ 

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว ภูเขาสีรุ้ง ประเทศจีน (Zhangye Danxia Landform, China) สถานที่ท่องเที่ยวสุดอลังการณ์ระดับโลก

ภูเขาสีรุ้ง มณฑลกันซู่ ประเทศจีน

ภูเขาสีรุ้ง หรือ ภูเขาหลากสีในเขตมณฑลกันซู่ ประเทศจีน เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกได้ว่าเป็นงานศิลปะที่เกิดจากฝีมือของธรรมชาติโดยแท้จริง ภาพภูเขาหลากหลายสีสันเหล่านี้เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาอันเกิดจากการกร่อนและผุพังตามธรรมชาติของหินทรายสีแดงที่ทับถมรวมกับตะกอนอื่นๆ จนเกิดเป็นพื้นที่สีแดง พื้นที่บริเวณนี้ประกอบไปด้วยหินทรายและหินกรวด ยุคครีเทเชียส (The Cretaceous Period) อายุกว่า 24 ล้านปี พื้นที่ต่างๆในบริเวณนั้นจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นที่ 






ชมคลิปภูเขาสีรุ้ง Zhangye Danxia Landform, China


ความงดงามของภูเขาสีรุ้งแห่งนี้ เกิดจากการที่แผ่นเปลือกโลกส่วนที่เป็นของภูเขาหิมาลัยเคลื่อนตัวเข้าหากันนานเข้าจนเกิดเป็นสันภูเขาจำนวนมาก แล้วต่อมาลมและฝนก็กัดเซาะสันเขาเหล่านั้นให้มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป อีกทั้งยังมีสีสันและลวดลายที่แตกต่างกันอีกด้วย

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเข้าไปชมความงามที่รังสรรค์โดยธรรมชาติแห่งนี้ สามารถใช้ทางเดินที่ทางอุทยานสร้างไว้รองรับ เพื่อเข้าไปในบริเวณอื่นๆที่ลึกเข้าไปในหุบเขาเหล่านี้ได้


อ้างอิงที่มาของข้อมูลจาก pantip.com
=================================================================

ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม Zhangye Danxia Landform, China นะครับ แล้วอย่าลืมเข้ามาพบกับ
Go Around And Travel
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งอื่นๆที่น่าสนใจกันอีกนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว ถ้ำหินอ่อนการ์เรรา ประเทศชิลี (Marble Caves, Chile) สถานที่ท่องเที่ยวสุดอลังการณ์ระดับโลก

ถ้ำหินอ่อน ทะเลสาบการ์เรรา ประเทศชิลี

ถ้ำหินอ่อน กลางทะเลสาบการ์เรรา (General Carrera) ในรัฐปาตาโกเนีย (Patagonia) ประเทศชิลี ที่เกิดจากกระแสน้ำจากแม่น้ำ Rio Tranquilo ได้กัดเซาะเป็นโพรงที่สลับซับซ้อนและวกวนเป็นเวลายาวนานนับล้านปี จนเกิดเป็นถ้ำหินอ่อนที่งดงามไม่เหมือนถ้ำใดๆในโลกใบนี และในปัจจุบันถ้ำแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยที่สุดในประเทศชิลีอีกด้วย




การเที่ยวชมความงดงามของถ้ำหินอ่อนการ์เรราแห่งนี้ นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสถึงความงามของลวดลายหินอ่อนตามผนังถ้ำที่ถูกกัดเซาะ ประกอบกับแสงที่ถูกสะท้อนจากท้องฟ้าผ่านน้ำอันใสสะอาด ไปยังผนังหินอ่อนของถ้ำ จนทำให้ถ้ำหินอ่อนกลายเป็นสีฟ้าสดใส สวยงาม ดูโดดเด่น และไม่มีถ้ำใดเหมือน
อ้างอิงที่มาของข้อมูลจาก travel.mthai.com


=================================================================
ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม Marble Caves, Chile นะครับ แล้วอย่าลืมเข้ามาพบกับ
Go Around And Travel
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งอื่นๆที่น่าสนใจกันอีกนะครับ

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว เกาะนางยวน (Nang Yuan island) สถานที่ท่องเที่ยว ชายหาดที่สวยที่สุดในประเทศไทย

เกาะนางยวน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ประเทศไทย มีสถานที่ท่องเที่ยวติดทะเล ทั้งขายหาดและเกาะหรือหมู่เกาะต่างๆมากมาย ที่สวยงามและมีชื่อเสียงโด่งดังไปยังต่างประเทศ Go Around And Travel ขอแนะนำเกาะหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงไม่แพ้เกาะอื่นๆเลย คือ เกาะนางยวน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

เกาะนางยวน เป็นเกาะเล็กๆทางทิศเหนือของเกาะเต่า ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 10 สวรรค์แห่งการพักผ่อนของโลก โดยเกาะนางยวนประกอบด้วย 3 เกาะเล็กๆ เชื่อมเข้าหากันด้วยสันทรายสีขาว ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าใส จนกลายเป็นอ่าวส่วนตัวถึง 3 อ่าว เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การเล่นน้ำ ดำน้ำ ดูปลา ดูปะการัง รวมไปถึงการนอนพักผ่อนริมหาด และที่พิเศษไปกว่านั้น คือ การชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้บนหาดเดียวกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเกาะนางยวน ที่มีเพียงแห่งเดียวในโลก
เกาะเต่า

เกาะนางยวน

เกาะนางยวน

เกาะนางยวน

เกาะนางยวน

เกาะนางยวน
สำหรับการเดินทางมายังเกาะนางยวนแห่งนี้ สามารถมาได้หลายเส้นทาง โดยเมื่อมาถึงท่าเรือที่ไปยังเกาะเต่าแล้ว สามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมที่จะมายังเกาะนางยวนแห่งนี้ได้จากผู้ให้บริการเรือที่ท่าเรือ และเกาะแห่งนี้ ก็สามารถมาเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี แต่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมของทุกปี จะเป็นช่วงฤดูมรสุมทะเล ซึ่งจะมีคลื่นลมแรง และอาจส่งผลกระทบต่อการเดินทางได้ ดังนั้นก่อนออกเดินทางควรตรวจสอบสภาพอากาศก่อน

อ้างอิงที่มาของข้อมูลจาก paiduaykan.com
=================================================================

ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม Nang Yuan island นะครับ แล้วอย่าลืมเข้ามาพบกับ
Go Around And Travel
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งอื่นๆที่น่าสนใจกันอีกนะครับ