แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เที่ยวญี่ปุ่น แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เที่ยวญี่ปุ่น แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในญี่ปุ่น : ไดบุทสึแห่งนาระ วัดโทได (Nara Daibutsu, Todai Temple)

ไดบุทสึแห่งนาระ เมืองนาระ ประเทศญี่ปุ่น

พระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆหรือไดบุทสึ เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่สำคัญมากๆของประเทศญี่ปุ่น จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
ไดบุทสึแห่งนาระ (Nara Daibutsu) ประดิษฐานอยู่ที่วัดโทได (Todai Temple) ซึ่งเป็นวัดสำคัญของเมืองนาระ จังหวัดยะมะโตะ องค์ไดบุทสึแห่งนาระนี้ทำจากสำริด มีความสูง ถึง 15 เมตร อีกทั้งยังเป็นต้นแบบของไดบุทสึแห่งคามาคุระอีกด้วย ไดบุทสึองค์นี้ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารไม้ที่ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก 








สำหรับวัดโทได เมืองนาระแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในทะเบียนเดียวกับวัด ศาลเจ้า และสถานที่สำคัญอื่นๆอีก 7 แห่งในเมืองนาระ  ซึ่งได้เริ่มสร้างครั้งแรกในสมัยเทมเปียวที่ในยุคนั้นมีผู้ประสบภัยจากภัยธรรมชาติและโรคระบาดอยู่เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งปี พ.ศ. 1286 จักรพรรดิโชมุได้ทรงประกาศว่า ประชาชนควรจะร่วมกันสร้างพระพุทธรูปขึ้นเพื่อปกป้องตนเองจากภัยพิบัติ เนื่องจากทรงมีความเชื่อว่าพระพุทธรูปจะช่วยคุ้มครองประชาชนได้ ตามบันทึกที่เก็บรักษาอยู่ในวัดโทไดได้กล่าวว่า มีคนมาช่วยสร้างพระพุทธรูปและหอที่ประดิษฐานมากกว่า 2,600,000 คน การสร้างพระพุทธรูปเริ่มต้นครั้งแรกที่เมืองชิงะระกิ แต่หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้และแผ่นดินไหวจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ก็ได้ย้ายสถานที่สร้างมายังเมืองนาราใน พ.ศ. 1288 และสร้างเสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ. 1294 ต่อมาใน พ.ศ. 1295 ได้มีการจัดพิธีเบิกพระเนตรเพื่อฉลองพระพุทธรูปองค์ใหม่ โดยมีพระภิกษุชาวอินเดียชื่อว่า Bodai-senna เป็นผู้ประกอบพิธี ตามบันทึกมีผู้มาร่วมพิธีราว 10,000 คน หลังจากนั้นจักรพรรดิโชมุได้ทรงประกาศให้วัดโทไดเป็นวัดประจำจังหวัดยะมะโตะ และเป็นศูนย์กลางของวัดทั่วอาณาจักร การก่อสร้างขึ้นใหม่หลังสมัยนะระ พระพุทธรูปไดบุสึถูกสร้างขึ้นใหม่หลายครั้งโดยเหตุผลต่างๆกัน รวมทั้งความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหว และมีการสร้างขึ้นใหม่ 2 ครั้งที่มีสาเหตุจากเหตุเพลิงไหม้ โดยพระหัตถ์ทั้งสองข้างที่เห็นในปัจจุบันนี้สร้างขึ้นในสมัยโมะโมะยะมะ (พ.ศ. 2111-2158) พระเศียรในปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยเอโดะ (พ.ศ. 2158-2410)และหอที่ประดิษฐานในปัจจุบันนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2252 โดยมีขนาดเล็กกว่าอาคารหลังเดิมราว 30% เดิมทีในบริเวณวัดจะมีเจดีย์สูง 100 เมตรอยู่คู่หนึ่ง ซึ่งจัดว่าเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกในยุคหลังจากการสร้างพีระมิด แต่ได้พังทลายลงเนื่องจากแผ่นดินไหว และทางเดินเข้าไปยังตัววิหารนั้นทอดยาวเข้าไป โดยจะมีฝูงกวาง ซึ่งคนญี่ปุ่นเชื่อว่ากวางเหล่านี้เป็นบริวารของเทพเจ้าเดินอยู่รอบๆอีกด้วย

สัญลักษณ์ของเมืองนาราคือ "กวาง" จึงเห็นกวางได้ทั่วไปทั้งในอุทยานนารา ศาลเจ้าคะสุกะ หรือที่วัดไทโดแห่งนี้ กวางพวกนี้เชื่องเพราะส่วนมากเป็นตัวเมีย แต่ก็มักจะแย่งอาหารที่ผู้มาเยือนถืออยู่ในมือ ที่นี่มีขนมที่ทำขายเป็นอาหารกวางโดยเฉพาะด้วยเป็นแป้งแผ่นๆ คล้ายขนมกล้วยหอมอัดญี่ปุ่นเรียกขนมบิสกิตกวางหรือ "ชิกะเซมเบะ" ขายปึกละ 150 เยน ถ้ากวางเห็นเราถือแผ่นเซมเบะน มันจะเดินตามจนกว่าจะได้กินและกินจนหมด ถ้าหมดแล้วเรากำมือไปชนหน้าผากมัน มันจะรุ้ว่าหมดแล้วและจะเดินจากไปอย่างง่ายๆ

อ้างอิงที่มาของข้อมูลจาก meetaweetour.co.th และ oknation.net


=================================================================

ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม Nara Daibutsu, Todai Temple นะครับ
แล้วอย่าลืมเข้ามาพบกับ

Go Around And Travel
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งอื่นๆที่น่าสนใจกันอีกนะครับ

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในญี่ปุ่น : ไดบุทสึแห่งคามาคุระ วัดโคโตกุ (Kamakura Daibutsu, Kotoku Temple)

ไดบุทสึแห่งคามาคุระ เมืองคามาคุระ ประเทศญี่ปุ่น

พระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆหรือไดบุทสึ เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่สำคัญมากๆของประเทศญี่ปุ่น จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
ไดบุทสึแห่งคามาคุระ เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยคามาคุระ หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ “พระอมิตตาพุทธ เนียวยูไล” (Amida Nyoyurai) ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในวัดโคโตกุ (Kotoku Temple) เมืองคามาคุระ จังหวัดคานางาวะ องค์ปัจจุบันนั้นทำจากสำริด ความสูงรวมฐานประมาณ 13.35 เมตร (เฉพาะองค์สูง 11 เมตร) มีน้ำหนัก 122 ตัน ที่เห็นองค์พระเป็นสีเขียวนั้นเกิดจากโลหะสำริดทำปฏิกิริยากับอากาศที่มีทั้งฝนและหิมะ ซึ่งเดิมทีแล้วองค์พระไม่ได้อยู่กลางแจ้ง แต่เพราะภัยธรรมชาติต่างๆ ที่พัดเอาโบสถ์และสิ่งก่อสร้างบริเวณนั้นหายไปจนหมด เหลือไว้เพียงองค์ไดบุทสึกลางแจ้งในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีความเชื่อกันว่า พระไดบุทสึเป็นผู้ปกป้องแผ่นดินญี่ปุ่นไว้จากการรรุกรานของศัตรูอีกด้วย




การเดินทาง : นั่งรถเมล์หมายเลข 6 จากหน้าสถานีรถไฟคามาคุระ (15 นาที) จนถึงหน้าวัด ซื้อบัตรและเดินผ่านแถวต้นสนเข้าไปจะพบลานกว้าง สำหรับวัดโคโตกุแห่งนี้ เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 7.00 - 16.30 โดยมีค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ที่ 300 JPY และสำหรับเด็กที่ 150 JPY และค่าเข้าชมองค์พระไดบุทสึด้านในอีก 20 JPY


อ้างอิงที่มาของข้อมูลจาก anngle.org และ pantip.com
=================================================================

ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม Kamakura Daibutsu, Kotoku Temple นะครับ
แล้วอย่าลืมเข้ามาพบกับ

Go Around And Travel
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งอื่นๆที่น่าสนใจกันอีกนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

รีวิว เกาะภูเขาไฟโอกะชิมะ ประเทศญี่ปุ่น (Volcanic island of Aogashima, Japan) สถานที่ท่องเที่ยวสุดอลังการณ์ระดับโลก

เกาะภูเขาไฟโอกะชิมะ ประเทศญี่ปุ่น

เกาะอาโอกะ เป็นเกาะภูเขาไฟซ้อนภูเขาไฟอีกทีหนึ่ง อยู่ในหมู่เกาะอิซุ ในน่านน้ำทะเลฟิลิปปินส์ มหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นไปทางตอนใต้ประมาณ 358 กิโลเมตร เกาะอาโอกะนั้นเป็นส่วนหนึ่งในเขตการปกครองของโตเกียว มีประชากร 195 คน (ปี 2012) และอยู่ภายใต้การดูแลของอุทยานแห่งชาติฟุจิ-ฮาโกะเน-อิซุ (Fuji-Hakone-Izu National Park) 

เกาะอาโอกะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 กิโลเมตร และยังคงมีปากปล่องภูเขาไฟอยู่ โดยรอบๆเกาะ ถูกล้อมรอบด้วยหน้าผาอันสูงชัน ประชากรทั้งหมดอาศัยอยู่รวมกันอยู่บนพื้นที่เล็กๆของเกาะ ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากที่สุด แต่มีโรงเรียนและที่ทำการไปรษณีย์เพียงแค่แห่งเดียว ที่เกาะแห่งนี้มีกิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆมากมาย สำหรับผู้ที่ชอบกิจกรรมผาดโผนก็มีการปีนเขาและการตั้งแคมป์คอยรองรับอยู่ นอกจากนี้ยังมีบ่อน้ำพุร้อนให้แช่กลางเกาะภูเขาไฟสำหรับผู้ชื่นชอบธรรมชาติอีกด้วย และกิจกรรมที่ขึ้นชื่อมากที่สุดคือ การดำน้ำ เพราะน้ำทะเลรอบๆเกาะนั้นใสและสะอาดมาก




เกาะอาโอกะ เป็นภูเขาไฟในยุคโบราณที่ผู้คนต่างรู้จักกันดี ซึ่งเมื่อ 3000 ปีก่อนเกิดการปะทุครั้งใหญ่ทำให้ทั้วทั้งเกาะถูกปกคลุมไปด้วยขี้เถ้าภูเขาไฟ หลังจากนั้น (2400 ปีก่อน) ปากปล่องภูเขาไฟทางตะวันออกเฉียงใต้ก็ค่อยๆถูกกลบด้วยหินลาวาที่ปะทุออกมา มีบันทึกไว้ว่าภูเขาไฟได้ระเบิดอีกครั้งในสมัยเอโดะ ปี 1652 และปะทุครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนเมษายน 1785 แล้วสร้างความเสียหายต่อเนื่องถึงปลายเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน ในเวลานั้นมีผู้เสียชีวิต 130-140 ราย และอีก 327 คนได้อพยบไปยังเกาะฮาจิโจ (Hachijoshima) ที่อยู่ทางตอนเหนือ หลังจากนั้นก็กลายเป็นเกาะร้างไปประมาณ 40 ปี ก่อนที่ผู้คนจะอพยบกลับเข้าไปอาศัยอีกครั้งในปี 1824

สำหรับการเดินทางไปยังเกาะนั้น ยังไม่สะดวกมากนัก เนื่องจากสามารถเดินทางด้วยการนั่งเรือเฟอร์รี่หรือเฮลิคอปเตอร์เท่านั้น โดยสำหรับการนั่งเรือ จะต้องเดินทางไปยังหมู่บ้านโอกะชิมะด้านบนด้วยเส้นทางอันคดเคี้ยวที่ไต่ไปตามหน้าผา แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ เกาะอาโอกะยังเป็นเกาะภูเขาไฟที่อาจเกิดการปะทุขึ้นได้อีกทุกเมื่อ จึงควรวางแผนการเดินทางและติดตามข่าวสารอยู่เสมอๆ


อ้างอิงที่มาของข้อมูลจาก facebook.com และ thailandsusu.com
=================================================================

ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม Aogashima, Japan นะครับ แล้วอย่าลืมเข้ามาพบกับ
Go Around And Travel
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งอื่นๆที่น่าสนใจกันอีกนะครับ